Monday, August 11, 2014

ชีวิต กับการเรียนรู้ ตอนที่ 2 เรียนรู้การจัดการชีวิตในอดีต

จากที่บทความก่อนหน้า เราได้พูดถึงปัญหาต่างๆที่เราได้พบเจอ มันคงเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับเราจริงๆแล้วปัญหาเหล่านี้ทำให้เราตระหนักได้ดีว่า ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ เราเคยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองถึงสองครั้งใหญ่ๆ

ครั้งแรก ตอนสมัยมัธยมปลาย ซึ่งเราก็คงเหมือนเด็กมัธยมทั่วไปที่พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ และลองผิดลองถูก ซึ่งก็เป็นความโชคดีของตัวเองที่ได้เจอแต่เพื่อนดีๆ ที่แนะนำสิ่งดีๆให้เสมอ รวมถึงมีพ่อ ที่เป็นคนโยนหนังสือดีๆด้านจิตวิทยาให้ แล้วให้ไปศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง รวมถึงการชอบจดบันทึกของพ่อ ต้องยอมรับว่าเป็นอิทธิพลที่ดีต่อเราได้มากทีเดียว ถึงขั้นว่า เมื่อเราเครียดแล้วไม่ได้จดบันทึกหรือวิเคราะห์มันออกมา เราแทบจะเครียดหัวระเบิดเลยทีเดียว
        ตอนนั้นจำได้ว่า เราพยายามสร้างตัวเองให้เป็นเด็กที่เรียนดีขึ้น จากเด็กที่ผลการเรียนปานกลาง และได้อัพตัวเองไปอยู่ห้องเก่งที่สุดในสายชั้นได้ในเวลาแค่เทอมเดียว โดยเราไม่ได้อ่านหังสือหนักมาก แค่แบ่งเวลาให้เป็น แบบจริงจัง เช่นเวลาไหนอ่านหนังสือ เวลาไหน ออกกำลังกาย เวลาไหนออกมารับฟังและพูดคุยกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมากๆ เมื่อเราแบ่งเวลาได้ เราสามารถสนุกกับชีวิตได้เต็มที่มากขึ้น และเมื่อเรามีความสุชจะทำให้เรามั่นใจ และสามารถรับมือกับทุกอย่างได้ ตอนนั้นต้องยอมรับว่า เราเป็นคนค่อนช้างสุดโต่ง ทำอะไรจริงจัง และเข้มงวดมาก มันทำให้ตอนมหาลัย เราเข้าขั้นลำบาก จนสดท้ายมาเจอภูมิทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ครั้งที่สองตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราสร้างให้ตัวเองเป็นคนยืดหยุ่นมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อเราเข้มงวดกับตัวเองทำให้ช่วงการเรียนมหาลัยของเราค่อนข้างติดขัด เราเจอความผิดพลาดนิดหน่อยจากที่คาดไว้ ก็จะหลั่งน้ำตา กลายเป็นคนเครียดง่ายและไม่มีความสุช เมื่อเราได้เจอภูมิ (ผู้เป็นสามีและพ่อของลูก) ซึ่งเป็นคนไม่คิดอะไรเลย ใช้ชีวิตไปวันๆ คิดอยู่ในหัวว่าตัวเองเป็นคนโชคดี แค่ทำสิ่งที่ควรทำโชคดีก็จะมาหาเอง ไม่ต้องไขว้คว้าหรือกดดันอะไรมากนัก แรกๆเราก็ไม่เห็นด้วย เราคิดว่าเป็นสิ่งเพ้อฝัน เพราะตัวเราเองตั้งอยู่บนความจริงและคิดอะไรล่วงหน้าเสมอ แต่กับภูมิไม่ใช่ ทำอะไรก็กับปัจจุบันทำแบบไม่ค่อยคิดด้วย ประมาณว่าถ้าผิดก็แก้เอา ซึ่งตรงข้ามกับเราอย่างมาก สุดท้ายเราก็สร้างตัวเองให้เป็นคนใจเย็นและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงและไม่คาดหวังอะไรทั้งนั้น รวมถึงเป็นคนทำก่อนคิดบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คิดจนไม่ได้ทำอย่างที่แล้วมาเนื่องจากเราคิดเยอะเกินไป เพื่อสร้างชีวิตให้พอดี ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปอย่างที่แล้วมา

ซึ่งสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนเกิดแบบมีเหตุผล แล้วปัจจุบันหล่ะ ทำไมเราถึงเจอคนที่คิดอัคติและแง่ลบพร้อมกันถึงสามคนและมีหนึ่งในนั้นออกแนวฟุ้งซ่าน และดันอยู่ในที่ทำงานเดียวกันกับเราด้วย ซึ่งเขาเหล่านั้สร้างผลกระทบกับเราทั้งสิ้น ทั้งร่างกาย จิตใจ การงานและที่สำคัญกระทบต่อทัศนะคติของเราที่มีต่อตัวเองและต่อโลกทั้งใบด้วย คำถามง่ายๆคือ เราจะทำอย่างไร



Sunday, August 10, 2014

ชีวิต กับการเรียนรู้ ตอนที่ 1 ปัญหาในมุมมองของเรา

ในช่วงชีวิต 1 เดือนที่ผ่านมา เราได้เจอรปะสบการณ์หลายๆอย่าง แบบเข้มเข้นในช่วงเวลาเดียวกัน
1. เหตุเนื่องจาก ลูกสาววัย 7 เดือนที่ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล โดยที่ส่วนตัวแล้วทั้งเราและสามีไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยมาก่อน และลูกสาวป่วยค่อนข้างหนัก เรากับสามีต้องพาไปโรงพยาบาแต่ดันเป็นโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่ารักษาแพงมากก จึงต้องจำใจย้ายลูกออกกลางคันเพื่อไปโรงพยาบาลรัฐบาลและได้คำแนะนำ จากพี่สาวที่เรานับถือ ซึ่งเขาช่วยแนะนำและให้กำลังใจได้เยอะมากๆ และได้รับความช่วยเหลือและความเสียสละจากน้องสาวที่อยู่้เคียงข้าง ครอบครัวเราถึงผ่านมันไปได้ พอลูกสาวเริ่มโอเคขึ้น เราก็กลับเขาทำงาน หลังจากที่ลางานมาหลายวัน
2. เมื่อเข้าไปทำงานแต่กลับเป็นว่า โดนเพื่อนร่วมงานรุมนินทาและวิจารณเกี่ยวกับการให้นมแม่ที่เราให้กับลูกซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่อย่างเราจะเสียสละเวลาและคำครหานินทาจนต้องแอบปั้มนมเพื่อเลี้ยงลูกและสาเหตุที่ลูกเราป่วย และบังเอิญเราไปได้ยินเข้า ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โต
3. หลังจากที่ลูกเราโอเค ก็มีปัญหาล่าสุดทีที่ทำงาน เรื่องหัวหน้าแผนกบัญชี มาวุ่นวายกับเราเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน ซึ่งเราก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เพราะถือว่าบริษัทให้เราเยอะแล้ว และบริษัทเองก็มีบุญคุณกับเรามากมาย แต่พี่คนนั้นเอาเราไปอ้างว่าเราทำงานมาตั้งนานเงินไม่ขึ้น เพราะตัวเขาเองต้องการจะขึ้นเงินเดือน เราอยู่ในสถานการณ์ตกที่นั่งลำบาก เพราะอาจทำให้คนที่เขาดีกับเราเข้าใจเราผิดได้ เราโกรธเขามาก แต่พวกเจ้ๆ เขาเข้าใจเราเป็นอย่างดี (เขาว่างั้น)

เราเลยต้องมานั่งตั้งสติให้ตัวเองใหม่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเราแล้วเราจะทำตัวอย่างไร โดยพยายามมองตัวเองให้เป็นกลางที่สุด

โดยรวมๆแล้วเหมือนว่าเราอยู่นิ่งๆแล้วมีคนเอาปัญหามาให้เราเอง

เราวิเคราะห์ว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามันสามารถมีได้หลายอย่าง สมมุติว่าชีวิตเหมือนเส้นทางเส้นหนึ่ง แน่นอนวา่ปัญหามีอยู่ทุกที่ มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเป็นตัวๆจับต้องได้ ทั้งเป็นความรู้สึก ทั้งเป็นความเจ็บปวดต่างๆ ซึ่ง
1. บางทีเราเป็นตัวปัญหาเอง
2. บางทีเราเดินปกติบนเส้นทางของเรานี่แหล่ะ แต่ปัญหามันอยู่ในทางที่เราเดินพอดี โดนมีทางเดียวคือเราต้องฟันฝ่าเพื่อจะเดินต่อไปได้
3. บางทีปัญหาก็เป็นเหมือนพายุระหว่างทางซึ่งเราก็เดินปกติ ท้องฟ้าสดใส ซักพัก พายุก็พัดเอาปัญหามากระทบเราซะงั้น


หวังว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี และเดินต่อไป

Friday, January 31, 2014

เราจะเริ่มจัดการกับตัวเองอย่างไร? (1)

เราจะเริ่มจัดการกับตัวเองอย่างไร?
คำถามนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ก่อนอื่นเราน่าจะหาเป้าหมายหรือแรงผลักดันก่อน

แล้วเป้าหมายคืออะไร?
- A: เป้าหมายในการดำเนินชีวิตทางด้านครอบครัว
เราจะมีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อ แม่และลูก (มีสามีที่น่ารัก มีหน้าที่การงานที่ดี มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่และซื้อสัตย์ มีลูกที่เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย มีหน้าที่การงานที่ดี และมีครอบครัวที่ดีเหมือนกับเรา) แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เดี๋ยวมาดูกัน
- B: เป้าหมายภายรูปลักษณ์ภายนอกสำหรับตัวเอง
เรามีร่างกายที่สมส่วนแข็งแรง มีกล้ามเนื้อ มีลักษณะที่คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงทรงผมเรียบร้อยไม่รุงรัง ผิวพรรณที่สะอาดสะอ้าน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ใบหน้ายิ้มแย้มน่ามอง

กรรมพันธุ์ และความล้มเหลว

เมื่อวาน ได้โทรศัพท์ไปคุยกับพ่อ เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไป เราก็โดนต่อว่าเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่เราไปเอาไข่นกไปทิ้ง ซึ่งถ้าปล่อยมันไว้ มันก็จะกลายเป็นแหล่งเชื้อโรคของบ้าน พ่อเรากลับด่าว่าเราใหญ่ บอกว่าเราเลว จิตใจไม่มีเมตตา ลูกเราต้องโดยขโมยหรือไม่ก็ป่วยตาย ฯลฯ  เรารู้สึกแย่กว่าเดิม จากที่รู้สึกแย่พอสมควรมาก่อนหน้านี้แล้ว คราวนี้แย่ไปใหญ่ แต่เมื่อพอมาปรึกษาภูมิ ภูมิบอกว่า คนที่แป้งควรรับฟังก็คือคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแป้ง ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็คือภูมิ เห้อ แต่ถ้าคิดเอาดีๆแล้ว คนที่ควรรับฟังที่สุดนั่นคือตัวเองมากกว่า

ยิ่งการได้พูดคุยกับพ่อ ทำให้ความคิดเดิมๆกลับมา พ่อเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิและอะไรต่างๆที่มองไม่เห็น ถึงขนาดเคยยอมซื้อ รถผีสิงเข้ามาในบ้าน แม้ตอนนั้นไม่มีเงินก็ตาม แต่สุดท้ายพ่อเองก็ไม่ได้เจอปาฎิหารย์อะไรเลยซักอย่าง และพ่อมักชื่นชมลูกที่ได้รับรู้อะไรก็ตามเกี่ยวกับสิ่งศักดิสิทธ์เสมอ ซึ่งแน่นอนมันกลายเป็นเรื่องอ้างที่จะคุยกับพ่อ นั่นคือบอกพ่อว่า เราเจอเรื่องประหลาดอะไรมา ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ความมีสาระจากการคุยกับพ่อนั่นน้อยมาก แต่ด้วยความเป็นลูก การได้คุยกับพ่อและคำพูดของพ่อนั่นเป็นจริงเสมอ จนเมื่อเราโตขึ้นมันมีอิทธิพลกับเรามาก จนทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเองหวาดกลัว และต้องหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเสมอ แต่ก่อนหน้นี้เราเคยสร้างกำแพงสำหรับความหวาดกลัวนี้โดยการสร้างบุคคลิกตัวเองขึ้นมาใหม่ และเราสามารถอยู่กับมันได้นานมาก จนเมื่อมีภูมิเข้ามา ความหวาดกลัวและการต้องการที่ยึดเหนี่ยว ทำให้เราอ่อนแอมากกว่าเดิมหลายเท่า นับจากวันนั้นมาจนวันนี้เป็นเวลา สิบปี มันก็ยังคงอยู่ แม่เราเองก็นาจะคล้ายพ่อ หรืออาจจะดีกว่า แต่จะยังไงก็ช่าง ในตอนนี้เรามีลูกแล้ว เราจะสั่งสอนลูกได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อการเลี้ยงดูแบบนี้มันพร้อมครอบงำให้เราล้มเหลว

คำถามก็คือความล้มเหลวเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่?
เราเคยอ่านหนังสือเล่มนึงที่บอกว่า ความล้มเหลวหรือความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมพันธ์แต่อย่างใด และเรากำลังอ่านเรื่องนี้จากเว็บนึง ซึ่งมีใจความประมาณนี้

"การที่เราจัดการปรับโปรแกรมความคิดในจิตใต้สำนึกของเราผ่านวีธีการใช้ภาษา และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบการคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันส่งผลต่อการแสดงออกทางกายที่ดีเลิศนั้นเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์ในรูปแบบใหม่ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง (Note: อันนี้คลายๆจะบอกว่าให้เราสร้างบุคคลิกภายนอกใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนบุคคลิกภายใน)

เปรียบเสมือนกับการลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้วลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมองนั้นเอง…


"ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เรียนรู้ และสร้างได้  และความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวคุณไปจนตาย"…

 ถ้าคุณรู้จักที่จะพัฒนาทักษะ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิด และการกระทำจากภายในตัวคุณ


"


และจากตำราอีกเล่ม
การวิเคราะห์และจัดระบบตนเอง




โดย PSYCHO – CYBERNETICS.  -  หลักการ
ของ Dr. MAXWELL MALTZ

- สมองของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่าระบบใดๆ ที่มนุษย์เคยสร้าง
- ภาพพจน์ของตนเอง ( Self Image)
ทุกอย่างที่เรากระทำ  จะสอดคล้องกับภาพพจน์ของตนเองเสมอ
ภาพพจน์ของตนเอง  เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตัวของเราเองว่าเป็นบุคคลชนิดใด
- สร้างขึ้นมาจากความเชื่อเกี่ยวกับตัวของเราเอง 
- เกิดจากคำบอกเล่าของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเรา  โดยเฉพาะวัยเด็ก
-  ภาพพจน์ของเราเปลี่ยนได้  ไม่ว่าจะอยู่ขั้นใดก็ตาม

คนเราเปลี่ยนภาพพจน์ของตนเองกันไม่ได้ง่ายๆ .............เพราะอะไร
- เพราะภาพพจน์ของตนเอง  จะฝังลึกอยู่ใน จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind)
และเราไม่รู้วิธีเปลี่ยนมัน,  อีกทั้งเราไม่รู้จักความสำคัญของ จิตใต้สำนึก

หลักของ Dr. MAXWELL  MALTZ  ใน ไซโครไซเบอร์เนติค บอกว่า

- ระบบสมอง และระบบประสาทของมนุษย์ จะทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ 
โดย “คอมพิวเตอร์”  ของมนุษย์ จะทำงานโดยอัตโนมัติ  เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น
- หากเป้าประสงค์ตั้งไว้เพื่อความสำเร็จ  คอมพิวเตอร์ก็จะทำเพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จ 
หากเป้าประสงค์ตั้งไว้เพื่อความล้มเหลว  คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้เกิดความล้มเหลว           
                  
อะไร  คือ  COMPUTER ในสมองของมนุษย์   =  จิตใต้สำนึก
จิตใต้สำนึก  -   จะทำงานโดย อัตโนมัติ และ ปราศจากความควบคุมทางด้านความคิด
-  เพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่ได้ตั้งไว้
ข้อจำกัดของจิตใต้สำนึก  -  จะทำงานต่อเมื่อมีข้อมูลอยู่เท่านั้น
                                 -  จะทำงานต่อเมื่อมีเป้าหมายอย่างเด่นชัด

ความชำนาญ  (SKILL)  -   จะเกิดขึ้นได้  เมื่อคุณกระทำไปโดยใช้จิตใต้สำนึก และหยุดการใช้ "จิตสำนึก"

นิสัย  (HABITS)    -    มาจากกระทำของจิต ของจิตใต้สำนึก
คนเรามักจะเปลี่ยน นิสัย ไม่สำเร็จ  เพราะพยายามใช้  WILL  POWER  ทำงาน  แทนที่จะใช้
IMMAGINATION ให้ทำงานแทน
การแก้ที่ถูกต้อง
- จะต้องเอา นิสัยที่ดี  เข้าไปใส่ใน จิตใต้สำนึก ให้ได้ โดย
- ใช้ จิตสำนึก เป็นผู้รวบรวมข้อมูลต่างๆ , คิด, ค้นคว้า และตีความ
-  เมื่อได้ เป้าประสงค์ ที่แน่ชัดแล้ว
- ใช้ IMMAGINATION สร้าง  เป้านั้น ให้เด่นชัดขึ้น จนมันเข้าไปเก็บอยู่ใน จิตใต้สำนึก
- จากนั้น จิตใต้สำนึก  จะทำงานให้คุณโดยอัตโนมัติ และ นิสัยเก่าจะหายไปเอง




ซึ่งรวมๆแล้วก็เป็นการให้เราเปลี่ยนความคิดของเราเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง และบอกเราว่า ความล้มเหลวมันไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์