เมื่อวาน ได้โทรศัพท์ไปคุยกับพ่อ เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไป เราก็โดนต่อว่าเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่เราไปเอาไข่นกไปทิ้ง ซึ่งถ้าปล่อยมันไว้ มันก็จะกลายเป็นแหล่งเชื้อโรคของบ้าน พ่อเรากลับด่าว่าเราใหญ่ บอกว่าเราเลว จิตใจไม่มีเมตตา ลูกเราต้องโดยขโมยหรือไม่ก็ป่วยตาย ฯลฯ เรารู้สึกแย่กว่าเดิม จากที่รู้สึกแย่พอสมควรมาก่อนหน้านี้แล้ว คราวนี้แย่ไปใหญ่ แต่เมื่อพอมาปรึกษาภูมิ ภูมิบอกว่า คนที่แป้งควรรับฟังก็คือคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแป้ง ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็คือภูมิ เห้อ แต่ถ้าคิดเอาดีๆแล้ว คนที่ควรรับฟังที่สุดนั่นคือตัวเองมากกว่า
ยิ่งการได้พูดคุยกับพ่อ ทำให้ความคิดเดิมๆกลับมา พ่อเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิและอะไรต่างๆที่มองไม่เห็น ถึงขนาดเคยยอมซื้อ รถผีสิงเข้ามาในบ้าน แม้ตอนนั้นไม่มีเงินก็ตาม แต่สุดท้ายพ่อเองก็ไม่ได้เจอปาฎิหารย์อะไรเลยซักอย่าง และพ่อมักชื่นชมลูกที่ได้รับรู้อะไรก็ตามเกี่ยวกับสิ่งศักดิสิทธ์เสมอ ซึ่งแน่นอนมันกลายเป็นเรื่องอ้างที่จะคุยกับพ่อ นั่นคือบอกพ่อว่า เราเจอเรื่องประหลาดอะไรมา ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ความมีสาระจากการคุยกับพ่อนั่นน้อยมาก แต่ด้วยความเป็นลูก การได้คุยกับพ่อและคำพูดของพ่อนั่นเป็นจริงเสมอ จนเมื่อเราโตขึ้นมันมีอิทธิพลกับเรามาก จนทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเองหวาดกลัว และต้องหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเสมอ แต่ก่อนหน้นี้เราเคยสร้างกำแพงสำหรับความหวาดกลัวนี้โดยการสร้างบุคคลิกตัวเองขึ้นมาใหม่ และเราสามารถอยู่กับมันได้นานมาก จนเมื่อมีภูมิเข้ามา ความหวาดกลัวและการต้องการที่ยึดเหนี่ยว ทำให้เราอ่อนแอมากกว่าเดิมหลายเท่า นับจากวันนั้นมาจนวันนี้เป็นเวลา สิบปี มันก็ยังคงอยู่ แม่เราเองก็นาจะคล้ายพ่อ หรืออาจจะดีกว่า แต่จะยังไงก็ช่าง ในตอนนี้เรามีลูกแล้ว เราจะสั่งสอนลูกได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อการเลี้ยงดูแบบนี้มันพร้อมครอบงำให้เราล้มเหลว
คำถามก็คือความล้มเหลวเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่?
เราเคยอ่านหนังสือเล่มนึงที่บอกว่า ความล้มเหลวหรือความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมพันธ์แต่อย่างใด และเรากำลังอ่านเรื่องนี้จากเว็บนึง ซึ่งมีใจความประมาณนี้
"การที่เราจัดการปรับโปรแกรมความคิดในจิตใต้สำนึกของเราผ่านวีธีการใช้ภาษา และการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบการคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันส่งผลต่อการแสดงออกทางกายที่ดีเลิศนั้นเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์ในรูปแบบใหม่ ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเอง (Note: อันนี้คลายๆจะบอกว่าให้เราสร้างบุคคลิกภายนอกใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนบุคคลิกภายใน)
เปรียบเสมือนกับการลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้วลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมองนั้นเอง…
"ความสำเร็จเป็นสิ่งที่เรียนรู้ และสร้างได้ และความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวคุณไปจนตาย"…
ถ้าคุณรู้จักที่จะพัฒนาทักษะ เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิด และการกระทำจากภายในตัวคุณ
"
และจากตำราอีกเล่ม
การวิเคราะห์และจัดระบบตนเอง
โดย PSYCHO – CYBERNETICS. - หลักการ
ของ Dr. MAXWELL MALTZ
- สมองของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่าระบบใดๆ ที่มนุษย์เคยสร้าง
- ภาพพจน์ของตนเอง ( Self Image)
ทุกอย่างที่เรากระทำ จะสอดคล้องกับภาพพจน์ของตนเองเสมอ
ภาพพจน์ของตนเอง เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตัวของเราเองว่าเป็นบุคคลชนิดใด
- สร้างขึ้นมาจากความเชื่อเกี่ยวกับตัวของเราเอง
- เกิดจากคำบอกเล่าของผู้อื่นเกี่ยวกับตัวเรา โดยเฉพาะวัยเด็ก
- ภาพพจน์ของเราเปลี่ยนได้ ไม่ว่าจะอยู่ขั้นใดก็ตาม
คนเราเปลี่ยนภาพพจน์ของตนเองกันไม่ได้ง่ายๆ .............เพราะอะไร
- เพราะภาพพจน์ของตนเอง จะฝังลึกอยู่ใน จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind)
และเราไม่รู้วิธีเปลี่ยนมัน, อีกทั้งเราไม่รู้จักความสำคัญของ จิตใต้สำนึก
หลักของ Dr. MAXWELL MALTZ ใน ไซโครไซเบอร์เนติค บอกว่า
- ระบบสมอง และระบบประสาทของมนุษย์ จะทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้
โดย “คอมพิวเตอร์” ของมนุษย์ จะทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น
- หากเป้าประสงค์ตั้งไว้เพื่อความสำเร็จ คอมพิวเตอร์ก็จะทำเพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จ
หากเป้าประสงค์ตั้งไว้เพื่อความล้มเหลว คอมพิวเตอร์ก็จะทำให้เกิดความล้มเหลว
อะไร คือ COMPUTER ในสมองของมนุษย์ = จิตใต้สำนึก
จิตใต้สำนึก - จะทำงานโดย อัตโนมัติ และ ปราศจากความควบคุมทางด้านความคิด
- เพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์ที่ได้ตั้งไว้
ข้อจำกัดของจิตใต้สำนึก - จะทำงานต่อเมื่อมีข้อมูลอยู่เท่านั้น
- จะทำงานต่อเมื่อมีเป้าหมายอย่างเด่นชัด
ความชำนาญ (SKILL) - จะเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณกระทำไปโดยใช้จิตใต้สำนึก และหยุดการใช้ "จิตสำนึก"
นิสัย (HABITS) - มาจากกระทำของจิต ของจิตใต้สำนึก
คนเรามักจะเปลี่ยน นิสัย ไม่สำเร็จ เพราะพยายามใช้ WILL POWER ทำงาน แทนที่จะใช้
IMMAGINATION ให้ทำงานแทน
การแก้ที่ถูกต้อง
- จะต้องเอา นิสัยที่ดี เข้าไปใส่ใน จิตใต้สำนึก ให้ได้ โดย
- ใช้ จิตสำนึก เป็นผู้รวบรวมข้อมูลต่างๆ , คิด, ค้นคว้า และตีความ
- เมื่อได้ เป้าประสงค์ ที่แน่ชัดแล้ว
- ใช้ IMMAGINATION สร้าง เป้านั้น ให้เด่นชัดขึ้น จนมันเข้าไปเก็บอยู่ใน จิตใต้สำนึก
- จากนั้น จิตใต้สำนึก จะทำงานให้คุณโดยอัตโนมัติ และ นิสัยเก่าจะหายไปเอง
ซึ่งรวมๆแล้วก็เป็นการให้เราเปลี่ยนความคิดของเราเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง และบอกเราว่า ความล้มเหลวมันไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์
No comments:
Post a Comment