Thursday, June 2, 2016

วิเคราะห์แนวคิดจากหนังสือ กล้าที่จะถูกเกลียด:เรื่อง ความหมายของเหตุการณ์ (1)

วันนี้ได้มีโอการสอ่านหนังสือที่น่าสนใจ เล่มหนึ่ง ชื่อว่า "กล้าที่จะถูกเกลียด" เขียนโดย คิชิมิ อิชิโร และ โคะกะ ฟุมิทะเกะ
ช่วงนี้ก็คงจะนำเสนอข้อคิดที่น่าสนใจของงานเขียนนี้ เรื่อยๆ แนวคิดที่จะยกขึ้นมาวิเคราะห์คือ

หนังสือเล่มนี้เขาพูดถึงว่า 
"ชีวิตของคนเราจึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ถูกกำหนดโดยความหมายที่ตัวเรามอบให้แก่ประสบการณ์ต่างหาก หมายความผลที่เราเห็นในเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตเราต่อจากนั้นว่าจะเป็นอย่างไร เราต่างหากที่เป็นคนกำหนดเอง โดยขึ้นกับว่าเราจะให้ความหมายต่อเหตุการณ์นั้นอย่างไร เหมือนว่า ผลลัพธ์ไม่ว่าดีหรือเลวที่เป็นอยู่เป็นเพราะเราเป็นคนกำหนด คนเรามักปั้นแต่งสิ่งต่างๆขึ้นมาเพื่อให้บรรลุ ตามเป้าหมายนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความโกรธขึ้นมา การสร้างโรคบางอย่างขึ้นมา โดยที่บางครั้งเป็นเหมือนอาการทางจิต สิ่งพวกนี้เราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น เพื่อทำให้เราบรรลุสิ่งที่ต้องการ หรือลางครั้งก็เป็นเป้าหมายแฝงไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง" น่าคิดต่อว่า สิ่งที่เขาเล่าในหนังสือ มันจริงมั้ย ก็เลยลองไปหาสิ่งที่น่าจะยืนยัน ในอินเตอร์เน็ต เพิ่มเติมดู

1. ความหมายของพฤติกรรมคือ สิ่งที่สามารถควบคุมและจัดระเบียบได้ เนื่องจากมนุษย์มีสติปัญญา และอารมณ์ (EMOTION) เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบ สติปัญญาหรือารมณ์ จะเป็นตัวตัดสินว่า ควรจะปล่อยกิริยาใดออกไป 
ถ้าสติปัญญาควบคุมการปล่อยกิริยา เราเรียกว่าเป็นการกระทำตามความคิดหรือ ทำด้วยสมอง แต่ถ้าอารมณ์ควบคุมเรียกว่า เป็นการทำตามอารมณ์ หรือปล่อยตามใจ นักจิตวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่า อารมณ์มีอิทธิพลหรือพลังมากกว่าสติปัญญา ทั้งนี้เพราะมนุษย์ทุกคนยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้พฤติกรรมส่วนใหญ่เป็นไปตามความรู้สึกและอารมณ์เป็นพื้นฐาน
รูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ
1. พฤติกรรมเปิดเผยหรือพฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมา ทำให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ สังเกตได้ เช่น การเดิน การหัวเราะ การพูด ฯลฯ 
2. พฤติกรรมปกปิดหรือพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงแล้ว แต่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สังเกตได้โดยตรงจนกว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้บอกหรือแสดงบางอย่างเพื่อให้คนอื่นรับรู้ได้ เช่น ความคิด อารมณ์ การรับรู้

2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะคือ
1. การปรับเปลี่ยนทางด้านของสรีระร่างกาย เช่น การปรับปรุงบุคลิกภาพ การแต่งกาย การพูด
2. การปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ให้มีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น ปรับอารมณ์ความรู้สึก ให้สอดคล้องกับบุคคอื่น รู้จักการยอมรับผิด
3. การปรับเปลี่ยนทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้าเพื่อให้มีความรู้ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ การมีความคิดเห็นคล้อยตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่
4. การปรับเปลี่ยนอุดมคติ หมายถึง การสามารถปรับเปลี่ยนหลักการ แนวทางบางส่วนบางตอนเพื่อให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ โดยพิจารณาจากความจำเป็น และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป็นประโยชน์แก่ตนเอง เพื่อสวัสดิภาพของตนเองและของกลุ่ม
การศึกษาเกี่ยวกับการเกิดของพฤติกรรมมนุษย์

3.หนึ่งในสาเหตุการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ มีอยู่หลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งที่น่าสนใจและตรงกับบทความนี้คือ

1. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายในตัวมนุษย์
แรงผลักดันที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมาก็คือ ความต้องการ ซึ่งความต้องการนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความต้องการทางร่างกาย และความต้องการทางจิตใจ 
1.1 ความต้องการทางด้านร่างกาย เป็นแรงผลักดันที่อยู่ในระดับพื้นฐานที่สุด แต่มีพลังอำนาจสูงสุด เพราะเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด มนุษย์จะต่อสู้ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จะมาบำบัดความต้องการทางร่างกาย ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งทางที่ดีที่ถูกต้องหรือทางที่ไม่ถูกต้องก็ได้
ความต้องการทางร่างกายที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำ อากาศ อุณหภูมิที่พอเหมาะ การพักผ่อน การขับถ่าย การสืบพันธุ์ ความปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
การตอบสนองความต้องการทางร่างกาย อันทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมออกมานั้น สามารถกระทำได้ 2 ระดับ คือ
1.1.1 กิริยาสะท้อน เป็นการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติ เช่น เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ร่างกายก็จะขับเหงื่อออกมาเป็นการลดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับพอเหมาะ
1.1.2 พฤติกรรมเจตนา เป็นการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าโดยความตั้งใจหรือความพอใจของตนเอง เช่น เมื่อรู้สึกตัวว่าร้อนก็จะไปอาบน้ำ หรือเปิดพัดลม เป็นต้น

1.2 ความต้องการทางจิตใจ เป็นแรงผลักดันที่อยู่ในระดับสูงขึ้นกว่าความต้องการทางร่างกาย แต่มีพลังอำนาจน้อยกว่า เพราะความต้องการทางจิตใจนี้ ไม่ใช่ความต้องการที่เป็นความตายของชีวิต จะเป็นความต้องการที่มาช่วยสร้างเสริมให้ชีวิตมีความสุขความสบายยิ่งขึ้นเท่านั้น
-----------------------------------------------------

4.มีนักจิตวิทยาหลายคนได้อธิบายถึงแรงผลักดันภายในร่างกาย อันมีผลทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้

1. ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย ได้วิเคราะห์จิตมนุษย์ออกเป็นองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และซุปเปอร์อีโก้ (Super Ego) ส่วนทั้งสามนี้ประกอบเป็นโครงสร้างทางจิต (ศรีราชา เจริญพานิช, 2526 : 13)

บอกว่า อีโก้ พัฒนาพฤติกรรมป้องกันที่เรียกว่า “กลไกป้องกัน” ซึ่งเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว ตัวอย่างพฤติกรรมป้องกัน ได้แก่

1. การเก็บกด (Repression) 
2. การถอดแบบ (Identification) 
3. การยึดแน่น (Fixation) 
4. การแสดงพฤติกรรมตรงข้าม (Reaction Formation) 
5. การตำหนิผู้อื่น (Projection) 
6. การถดถอย (Regression) 
7. พฤติกรรมเบี่ยงเบน (Sublination) 
8. การทดแทน (Displacement) 
--------------------------------------------------
2. อับราฮัม มาสโลว์ (Abrahum Maslow) เป็นนักจิตวิทยาในกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) ซึ่งนักจิตวิทยากลุ่มนี้ มีความเชื่อว่า มนุษย์มิใช่ทาสของแรงผลักดันต่างๆ เช่น ความหิวกระหายเท่านั้น แต่มนุษย์ยังเกิดมาพร้อมศักยภาพของความเป็นมนุษย์ต่างๆ เช่น ความอยากรู้ ความสร้างสรรค์ และความต้องการที่จะพัฒนาตนเองจนเต็มขีดความสามารถ มาสโลว์ได้เน้นให้เห็นถึงความต้องการให้แต่ละคน ในการพัฒนาศักยภาพของตนให้เป็นจริงขึ้นมามากเป็นพิเศษ เป็นต้น


สรุปทั้งหมดคือ 
เป็นไปได้ ที่ "ชีวิตของคนเราถูกกำหนดเองโดยความหมายที่ตัวเราเองมอบให้แก่ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา"   ดังนั้นเหมือนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่บอกว่า เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่า เขาเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ แต่เป็นเพราะเขาสร้างเงื่อนไขที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองต่างหาก ทุกอย่างเริ่มที่ตัวเรา เริ่มที่ความกล้า ที่จะทำและสร้างเป้าหมายและความหมายในสิ่งที่เราทำในอีกรูปแบบหนึ่ง ให้แตกต่างจากเดิม


อันชีวิตมนุษย์สุดวิเศษ โทษอาเภพฤกษ์ร้ายที่บ่ายหนี 
ก็อ้างอิงชีวิตชั่วเพราะเหตุนี้ โทษเจ้าที่เจ้าทางไปตามกัน 
ทำไมเล่าไม่เคยโทษมองตัวเอง ว่าเรานี่แหล่ะรำเองไม่สร้างสรรค์ 
โทษปี่โทษกลองทำไมกัน ทำไมท่านไม่ถือโทษโกรธตัวเอง 
เกิดเป็นมนุษย์ช่างแสนสุดล้ำ มองโลกต่างมุมต่างแบบไม่แนบกัน 
ช่างมืดดำมัวหมองและตรอมตรม โทษชาวบ้านที่มองต่าง "พวกโลกสวย"
 ชอบพูดอวยมองโลกผิดไม่เหมือนฉัน โลกทั้งใบโหดร้ายเหมือนๆกัน  
ฉันนี่หล่ะมองเห็นเต็มๆตา แต่ความจริงอนิจาเธออวดรู้ 
ถือว่าพลาดอยู่ดูความงามที่สร้างสรรค์  โลกทั้งใบใช่ว่ามองต้องกัน
ในทุกข์นั้นมีสุขอยู่ทุกที่ แล้วแต่ว่าใจจะมองเห็นโลกนี้ 
จะชั่วดีมีสุขอยู่หนไหน ฝนจะตกไม่ทั่วฟ้าช่างปะไร อยู่ที่ใจคุณเองที่รู้ดี


โดย ทรงรัตน์ บานเย็น 




ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย และ www.novabizz.com


ขอบคุณที่อ่าน
สวัสดีค่ะ

No comments:

Post a Comment